คุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพและการรักษาโรค ของวานิลาจากธรรมชาติ

Contains Healing Power – ช่วยป้องกันและกระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อและเซลในร่างกาย เนื่องจากอุดมไปด้วยสารแอนตี้อ๊อกซิแดนซ์ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อของร่างกาย กระตุ้นการเจริญเติบโตให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีสารยับยั้งแบคทีเรียในธรรมชาติของฝักวานิลาที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในการกำจัดเชื้อโรค และฟื้นตัวต่อการเจ็บป๋วย หรือบาดเจ็บได้รวดเร็ว

Weight Loss – ช่วยควบคุมน้ำหนักร่างกาย นอกเหนือจากจะช่วยเพิ่มความอยากอาหาร โดยช่วยกระตุ้นการทำงานMetabolism ทำให้เสริมสร้างระบบการย่อยอาหารให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากนี้การบริโภคขนมของหวานและเครื่องดื่มผสมวานิลาจากธรรมชาติจะช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวลในปัญหาชีวิตประจำวัน ยังช่วยผ่อนคลายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

Respiratory Conditions – ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจ ปราศจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และปอด เข่น ลดอาการไอ เจ็บคอ และการติดเชื้อที่ทรวงอกและปอด

Support Heart Health ช่วยบำรุงสุขภาพของหัวใจ ลดระดับ LDL Cholesterol ในหลอดเลือด และผู้คนเป็นโรคหัวใจตลอดจนผู้ที่ผ่านการผ่าตัดโรคหัวใจ โดยการบริโภควานิลาในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการทำงานของหัวใจ

Anxiety Treatment – ช่วยลดความวิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้าโดยกลิ่นรส ความอร่อยของวานิลาที่บริโภค จะช่วยให้ร่างกานได้ผ่อนคลาย ลดความตรึงเครียดลง

Cancer Prevention – ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่อจากวานิลาจัดเป็นสารอาหารที่มีอนุมูลอิสระอันทรงพลัง จึงช่วยป้องกันยับยั้งการเจริญเติบโตของโรคมะเร็งได้อย่างดี

Reduces Inflammation – ช่วยรักษาและลดการติดเชื้อ ของร่างกายในหลายๆสาเหตุ โดยเฉพาะโรคตับและไขข้ออักเสบ

Acne Prevention – ช่วยลดสิวฝ้าบนใบหน้า เนื่องจากวานิลามีสารยับยั้งแบคทีเลียโดยธรรมชาติ จึงทำให้ช่วยลดการติดเชื้อที่ผิวหนัง และช่วยกำจัด ชำระล้างสิ่งสกปรก และคราบเสก็ดตามรอยขุมขนที่ผิวหนังออกได้อย่างมีประสิทธภาพ

Anti-aging Benefits – ช่วยชะลอความแก่ และเสริมสร้างสุขภาพของผิวหนังให้ดูมีน้ำมีนวล สดใสชุ่มชื่นตลอด จึงเป็นที่นิยมเอาไปใช้ทำผลิตภัณฑ์เสริมความงามและบำรุงผิวในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์

Hair Care – ช่วยบำรุงและรักษาสุขภาพของเส้นผม ทำให้ยาวสรวยและดกดำ เป็นเงางาม

ประวัติความเป็นมาของวานิลา

วานิลาเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในป่าแถบอเมริกากลาง โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ว่ากันว่าชาวสเปนรู้จัก “วานิลา” มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีชาวสเปนนำฝักวานิลาเข้าไปในประเทศสเปนเพื่อทำช็อกโกแลตเมื่อปี ค.ศ. 1681

ในปี ค.ศ. 1733 มีการนำวานิลาเข้าไปปลูกในอังกฤษ จากนั้นก็เงียบหายไป ไม่มีใครรู้จักหรือเห็นต้นวานิลาอีก จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 19 มาร์ควิส ออฟ แบลนฟอร์ด (Marquis of Blandford) ได้นำวานิลาเข้ามาในอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง โดยนำไปไว้ในสวนรวมพันธุ์ไม้ของชาร์ลส์ เกรวิลล์ (Charles Greville) ที่เพดดิงตัน (Paddington) ในปี ค.ศ. 1807

เกรวิลล์ได้ส่งต้นปักชำวานิลาไปยังสวนพฤกษศาสตร์ในปารีสและอันต์เวิร์ป (Antwerp) วานิลา 2 ต้นที่อันต์เวิร์ปถูกส่งไปยังบุยเตนซอร์ก (Buitenzorg) ประเทศอินโดนีเซียในปี ค.ศ. 1825 แต่ไม่ติดฝัก ต่อมาในปี ค.ศ. 1827 มีการส่งวานิลาไปยังมอริเชียส (Mauritius) ซึ่งเป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ปัจจุบันประกาศเอกราชเป็นประเทศแล้ว

ในปี ค.ศ. 1846 เทส์มานน์ (Teysmann) ได้นำเทคโนโลยีการปลูกวานิลาไปใช้ในอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันที่ตาฮิติ มีปัญหาเรื่องการปลูกอ้อย จึงมีการส่งเสริมให้ชาวตาฮิติปลูกวานิลา โดยในปี ค.ศ. 1848 ได้มีการนำพันธุ์มาจากฟิลิปปินส์ หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาการปลูกวานิลาเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม จึงทำให้วานิลาแพร่หลายไปยังที่อื่นอย่างรวดเร็ว

สำหรับประเทศไทย ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้นำวานิลาเข้ามาปลูกและเมื่อใด สันนิษฐานว่าคงจะได้พันธุ์มาจากอินโดนีเซียมาปลูกไว้ที่สถานีทดลองพืชสวนพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี นานมาแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลูกอยู่ที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2521 แต่ไม่ได้ปลูกบนค้างโดยเฉพาะ แต่อาศัยค้างของเรือนเพาะชำและปล่อยให้เลื้อยเกาะเป็นร่มเงาในเรือนเพาะชำ

  • วานิลาเริ่มปลูกและได้ผลครั้งแรกที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพรในปี พ.ศ. 2534 ปัจจุบันมีการปลูกในหลายที่ซึ่งล้วนเป็นสถานีทดลองพืช แต่ยังไม่มีการปลูกเป็นล่ำเป็นสันโดยเอกชน
  • วานิลา เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลกล้วยไม้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vanilla fragrans (Salisb.) Ames โดยวานิลาในเชิงการค้าปัจจุบันมีอยู่ 3 พันธุ์คือ:
  1. Vanilla planifolia ปลูกทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก และปลูกมากในประเทศมาดากัสการ์
  2. Vanilla pompona หรือ Vanillon ปลูกในอเมริกากลาง
  3. Vanilla tahitensis หรือเรียกว่า วานิลาตาฮิติ ปลูกมากในประเทศหมู่เกาะ French Polynesia, ตาฮิติ (Tahiti) และโบราโบรา (Bora Bora)

วานิลาเป็นพืชประเภทเครื่องเทศที่มีการใช้ประโยชน์โดยการนำมาหมักและบ่มให้เกิดกลิ่น จากนั้นนำไปสกัดสารที่ให้กลิ่นและรสชาติเพื่อนำมาปรุงแต่งรสอาหาร โดยเฉพาะในไอศกรีม ช็อกโกแลต ขนมหวาน และลูกกวาด นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาและน้ำหอมด้วย

ผลิตภัณฑ์จากวานิลาที่จำหน่ายอยู่ในตลาดโลกมีหลายชนิด แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้ โดยส่วนใหญ่จะใช้วานิลาในการปรุงแต่งกลิ่น รสอาหาร ขนมหวาน ชา กาแฟ เครื่องดื่มค็อกเทลและแอลกอฮอล์ รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

การแปรรูปวานิลาฝักแห้งที่บ่มกลิ่นหอมแล้ว สามารถนำมาแปรรูปเป็นสารให้กลิ่นหอมกึ่งวัตถุดิบก่อนใช้งาน ได้แก่:

  1. ฝักแห้ง ขูดเมล็ดนำไปทำขนมเค้กและเครื่องดื่มต่าง ๆ โดยตรง
  2. วานิลาสกัดกลิ่นหอมด้วยเหล้าหรือแอลกอฮอล์ (40%)
  3. วานิลาหมักในน้ำตาล
  4. วานิลาหมักในน้ำเชื่อม
  5. วานิลาหมักในน้ำผึ้งธรรมชาติ
  6. วานิลาแห้งบดผง
  7. วานิลาเพสต์

100 % NATURAL VANILLA วานิลาแท้จากธรรมชาติ

  • Fruit from hand pollination every single vanilla orchid flowering-ฝักกล้วยไม้วานิลาเป็นผลไม้ ที่เกิดจากการผสมเกสรด้วยมือทุกฝัก ซึ่งใช้เวลาสุกแก่ 9 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว
  • 100% Natural Vanilla Beans from Sun Drying and Curing Processes for more than 45 days-วานิลาฝักแก่หลังเก็บเกี่ยวก็จะนำมาผึ่งแดดและบ่มกลิ่นแบบธรรมชาติ ไม่น้อยกว่า 1 ½ เดือน
  • Chemical/ additives free vanilla beans– ไม่ใช้สารเคมี หรือสารปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น
  • Physical characteristics  : Dried bean pod length 10-20 centimeters of brown to dark brown beans ‘ color  with floral or sweet or fruity fragrances– วานิลาฝักแห้งสีน้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลดำ ความยาว 10-20 ซ.ม. พร้อมให้กลิ่นหอมหวานของดอกไม้หรือผลไม้
  • Storage conditions : Keep in cleaned jar or bottle with tight seal and cool place –เก็บในโหลหรือขวดแก้วปิดสนิท และเย็น
  • Shelf life  : Best before 3 years after packing in airtight glass jar or rigid container – อายุการเก็บรักษา 3 ปี หลังบรรจุในภาชนะปิดสนิท